รายได้พื้นฐาน: โลกอาจงดงามขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
โดย เควิน คาร์สัน
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ. Basic Income: The Wonderful World That Might Have Been. 26 กุมภาพันธ์ 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
ผู้สนับสนุนรายได้พื้นฐาน (Basic Income) ยกเหตุผลมากมายเพื่อชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของมัน แต่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า คนอย่างจอห์น สตอสเซล จะเป็นคนที่ให้เหตุผลที่มีน้ำหนักที่สุด (“Universal Basic Income Shows Why Giving People ‘Free Money’ Doesn’t Work,” Reason, October 9)
ตอนหนุ่มๆ ถ้าผมไม่จำเป็นต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง ผมคงไม่พยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะความกลัว
การพูดติดอ่าง และความลังเลที่จะพูดในที่สาธารณะ ผมอาจไม่ประสบความสำเร็จ และอาจเอาแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวันเลยก็ได้
นั่นแหละครับ ท่านผู้ชม รายได้พื้นฐานอาจขัดขวางจอห์น สตอสเซล เอาไว้ได้ เขาอาจจะเอาแต่นอนอยู่บนเตียงแทนที่จะใช้เวลาหลายทศวรรษพ่นวาทกรรมขวาๆ ซ้ำๆ ซากๆ และโลกอาจงดงามขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
พูดจริงๆ เลยนะครับ ผมเดาว่าเขาตั้งใจยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อโต้แย้งแนวคิดเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (UBI)
ในวิดีโอใหม่ของผม นักเคลื่อนไหวเพื่อ UBI อย่างคอนราด ชอว์ เห็นด้วยว่า “คุณจะสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรงได้ทันที”
เขาบอกว่า UBI จะช่วยให้ผู้คน “เริ่มต้นธุรกิจ ซ่อมบ้าน หรือลงทุนในสวนเกษตรแบบยั่งยืน”
ก็นะ… “สวนยั่งยืน” ฟังดูดีอยู่หรอก แต่ก็ยังมีใครบางคนที่ต้องผลิตสิ่งของอยู่ดี และนั่นต้องใช้แรงงาน
ซึ่งบ่อยครั้งเป็นงานหนักเสียด้วย
เพื่อตอบโต้คำกล่าวอ้างของสตอสเซลที่ว่า หากมี UBI เขาคงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ชอว์ตอบว่า “ผมไม่เชื่อหรอก ไม่มีใครเอาแต่นอนอยู่บนเตียง…คนเราหาแพชชั่นของตัวเองเจอได้ ไม่ใช่แค่เพราะเมื่อจำเป็นต้องทำเพื่อเงิน”
เพื่อหักล้างข้อเสนอเรื่อง UBI สตอสเซลอ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากแซม อัลท์แมน เทคโบรจากซิลิคอนวัลเลย์ (ซึ่งนิตยสาร Reason รายงานไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม) เกี่ยวกับการทดลองให้เงิน 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือนแก่ผู้มีรายได้น้อยเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งตามคำบอกของสตอสเซลนั้น โครงการดังกล่าวไม่ได้
ให้ผลตามที่คาดหวังเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้รับเงิน 1,000 ดอลลาร์ติดต่อกันสามปี ผู้รับเงิน UBI กลับมีหนี้เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ก็เพราะพวกเขาทำงานน้อยลง คู่ชีวิตของพวกเขาก็ด้วย
ผู้รับเงินบางคนพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ลงมือทำจริงๆ และในหมู่คนที่บอกว่าได้เริ่มทำธุรกิจ ส่วนใหญ่รอจนถึงปีที่สามของการศึกษา ซึ่งเป็นช่วงที่เงินฟรีกำลังจะหมดพอดี
ผมไม่แปลกใจเลย ถ้าให้เงินคนแบบไม่ต้องทำอะไร ก็เท่ากับลดแรงจูงใจในการทำงาน และแรงจูงใจคือสิ่งสำคัญ
ชอว์แย้งว่า “เรามักจะเอางานกับอาชีพมาปนกัน”
ซึ่งก็จริง ผู้คนสามารถทำงานที่มีความหมายได้โดยไม่ต้องอยู่ในกรอบของอาชีพ แต่การได้รับค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพก็แสดงให้เห็นว่า มีใครบางคนเห็นว่าคุณมีค่าคู่ควรกับเงินก้อนนั้น
“คุณมีค่าเท่าไหร่ในสายตาลูกที่คุณเลี้ยงดูมา” ชอว์ถามกลับ “หรือในสายตาผู้ป่วยในบ้านที่คุณดูแลอยู่”
สูงมาก “แต่นั่นไม่ได้หักล้างเรื่องที่ว่า ยังต้องมีคนอื่นทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายให้กับมันอยู่ดี”
รายงานก่อนหน้านี้ของ Reason ที่เขียนโดยอีริก โบห์ม ซึ่งวิจารณ์ผลการศึกษานั้นในเชิงลบ ให้ความเห็นอย่างค่อนข้างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขามองว่าน่าขัดใจที่สุดในรายงานฉบับนี้ นั่นคือการที่ผู้คนเลือกที่จะมีเวลาว่างมากขึ้น
“คุณอาจมองได้ว่า หากไม่นับเงินที่ได้รับต่อเดือน รายได้รวมของครัวเรือนลดลงมากกว่า 20 เซนต์ต่อเงินทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ได้รับ” อีวา วิวาลท์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยนี้ เขียนไว้ในโพสต์บน X “นี่ถือเป็นผลกระทบสำคัญทีเดียว”
แต่ถ้าผู้รับเงินทำงานน้อยลง คำถามสำคัญก็คือ พวกเขาใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นไปกับอะไร เวลาที่ในทางปฏิบัติแล้วถูกซื้อด้วยเงินที่โอนมา
ผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการหางานใหม่หรือหางานที่ดีกว่า แม้ว่าผู้เข้าร่วมที่อายุน้อยกว่าจะมีแนวโน้มที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมมากกว่านิดๆ ก็ตาม ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้เข้าร่วมมีแนวโน้มจะกล้าเสี่ยงเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากขึ้น…สิ่งที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดกลับอยู่ในหมวดที่นักวิจัยเรียกว่า กิจกรรมพักผ่อนแบบสังคมและส่วนตัว
ผู้สนับสนุน UBI บางคนอาจแย้งว่า งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะมีรายได้และชั่วโมงทำงานที่ลดลง จริงๆ แล้วตรงนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญ
นักวิจัยสรุปไว้ในช่วงท้ายของรายงานว่า “แม้การลดการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมักถูกมองในแง่ลบ
แต่นโยบายควรคำนึงด้วยว่า ผู้รับเงินช่วยเหลือได้แสดงให้เห็นผ่านการเลือกของพวกเขาเอง ว่าเวลานอกเหนือจากการทำงานนั้นคือสิ่งที่พวกเขาให้คุณค่ามาก”
มูลนิธิเพื่อการศึกษาเศรษฐกิจ (Foundation for Economic Education – FEE) ไม่พลาดที่จะออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับผลการศึกษาฉบับนี้เช่นกัน
อิสรเสรีนิยมฝ่ายขวามีจุดยืนร่วมกันมานานแล้วว่า สิ่งใดก็ตามที่ลดแรงจูงใจในการทำงานของผู้คน หรือเพิ่มอำนาจต่อรองให้พวกเขา ถือเป็นสิ่งเลวร้าย เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง 50 ปีก่อน เมอร์เรย์ รอธบาร์ด เคยโต้แย้งแนวคิดของมิลตัน ฟรีดแมน ที่เสนอว่า รายได้ขั้นต่ำแบบรับประกันผ่านระบบภาษีรายได้ติดลบ (negative income tax) จะมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐสวัสดิการแบบเดิม รอธบาร์ดเสนอว่า “สิ่งเดียวที่ทำให้ระบบสวัสดิการในปัจจุบันพอจะทนได้ ก็คือความไม่มีประสิทธิภาพของมันนี่แหละ เพราะถ้าจะขอรับเงินช่วยเหลือ ก็ต้องฝ่าดงระบบราชการที่วุ่นวายและไม่น่าพิสมัยไปให้ได้เสียก่อน”
สัญญาณหนึ่งที่สะท้อนถึงท่าทีต่อต้านอย่างรุนแรงของกลุ่มอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวา ต่อสิ่งใดก็ตามที่ลดแรงจูงใจในการทำงาน หรือเพิ่มอำนาจต่อรองให้แรงงาน คือข้อเท็จจริงที่ว่านิตยสาร Reason, FEE และสตอสเซล ต่างรุมวิจารณ์งานวิจัยที่อ้างถึงข้างต้นกันอย่างสนุกปาก แต่เมื่อไรที่มีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับ UBI พวกเขากลับเงียบเป็นเป่าสาก พวกเขาทำอะไรแบบนี้อยู่ตลอด เช่น เมื่อมีรายงานฉบับหนึ่งออกมาระบุว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทำให้การจ้างงานลดลง พวกเขาก็จะหยิบยกขึ้นมาโหมประโคมข่าว แต่ถ้ามีหลักฐานในทางตรงกันข้าม พวกเขาก็มักจะเมินเฉยเสียอย่างนั้น
จากมุมมองแบบอนาธิปไตย แนวคิดที่ว่าจะให้รัฐราชการส่งผ่านรายได้จากภาษีไปยังประชาชนในรูปของรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าอาจฟังแล้วชวนขมวดคิ้ว แต่ในฐานะผู้ยึดมั่นในแนวคิดอิสรเสรีนิยมวิภาษวิธี (dialectical libertarianism) ของคริส เชียบาร์รา ซึ่งเสนอว่าควรประเมินนโยบายต่างๆ โดยพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของมันในระบบที่ใหญ่กว่า ผมมองว่า เราสามารถให้เหตุผลที่หนักแน่นได้ว่ารายได้พื้นฐานในเชิงบทบาทหน้าที่แล้ว เป็นการลดอำนาจครอบคลุมของรัฐโดยรวมลง ประเด็นนี้จะยิ่งเป็นจริงกับข้อเสนอที่ไม่ทะเยอทะยานนักอย่างการแทนที่ระบบราชการด้านสวัสดิการด้วยภาษีรายได้เชิงลบ
ลองพิจารณาธรรมชาติของระบบที่เรามีอยู่ซึ่งจะนำรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าหรือภาษีรายได้เชิงลบมาใช้งาน เรื่องแรกเลยคือ ในระบบนี้ ชนชั้นแรงงานถูกทำให้ต้องพึ่งพาการขายแรงงานอย่างไม่เป็นธรรม มิหนำซ้ำ อำนาจต่อรองของพวกเขายังถูกลดทอนลงอย่างรุนแรงตลอดหลายศตวรรษของประวัติศาสตร์ทุนนิยม อันเป็นผลจากนโยบายของรัฐที่มีเป้าหมายเพื่อแยกผู้ผลิตออกจากความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและปัจจัยดำรงชีพ ความมั่งคั่งของชนชั้นมหาเศรษฐีในระบบนี้มีที่มาจากรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการลงแรงทำงาน (unearned income) ซึ่งเป็นผลจากการที่อำนาจต่อรองของแรงงานถูกลดทอนอย่างรุนแรง การที่รัฐอุดหนุนบรรษัทขนาดใหญ่โดยตรง และการรีดผลประโยชน์ในรูปของค่าเช่าทางเศรษฐกิจจากทรัพยากรที่ขาดแคลน รวมถึงสิทธิในทรัพย์สินเทียมๆ (artificial property rights) ซึ่งกำหนดและบังคับใช้โดยรัฐ
ความมั่งคั่งของชนชั้นมหาเศรษฐีเป็นผลจากอำนาจทางเศรษฐกิจที่ประทานให้โดยรัฐ ด้วยเหตุนี้ สิ่งใดที่จำกัดความสามารถของพวกเขาในการใช้อำนาจนี้ในทางที่ผิด หรือลดทอนปริมาณความมั่งคั่งที่สามารถขูดรีดได้ลง จึงถือว่าเป็นการลดบทบาทของรัฐในภาพรวมลงเช่นกัน เมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว มาลองพิจารณาสิ่งที่สตอสเซลพูดไว้ว่าเป็นผลลัพธ์เชิงลบของรายได้พื้นฐานถ้วนหน้ากันดู ก่อนอื่นเรามาเคลียร์ประเด็นเรื่องหนี้สินที่เพิ่มขึ้นกันก่อน ไม่มีเหตุผลเลยที่จะโทษแบบที่สตอสเซลว่า ว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการสูญเสียรายได้เนื่องจากชั่วโมงทำงานที่ลดลง เพราะแม้แต่แหล่งข้อมูลที่เขาอ้างเองก็ยังระบุว่า รายได้สุทธิของผู้รับรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยราวร้อยละ 80 ของจำนวนเงินที่ได้รับ นอกจากนั้น ยังมีคำถามอีกว่าในสถานการณ์ปกติหนี้สินจะเพิ่มอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาเดียวกัน อันที่จริง หนี้ครัวเรือนพุ่งทะยานขึ้นอย่างสุดลูกหูลูกตาในหนึ่งชั่วอายุคน อันเป็นผลจากค่าแรงที่แทบไม่ขยับไปไหน พร้อมกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว คนจำนวนมากต้องพึ่งพาหนี้เพื่อทดแทนกำลังซื้อที่มาจากรายได้ ดังนั้น ปัญหาเรื่องหนี้จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งควรพิจารณาต่างหากจากประเด็นเรื่องรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า
แม้จะยอมรับว่าผู้คน “ทำงานที่มีความหมายนอกกรอบของอาชีพ” ได้ แต่สตอสเซลยืนกรานว่า “การได้รับค่าตอบแทนจากการประกอบอาชีพก็แสดงให้เห็นว่า มีใครบางคนเห็นว่าคุณมีค่าคู่ควรกับเงินก้อนนั้น” คำถามก็คือ ใครบางคนที่ว่านั้นคือใคร และคนคนนั้นควรอยู่ในตำแหน่งที่สามารถตัดสินใจว่าคุณควรทำงานอะไรได้หรือเปล่า อย่างที่เราเห็นไปแล้ว ใครบางคนที่ตัดสินว่างานของคุณมี(มูล)ค่าเท่าไร ก็คือคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถจัดสรรทรัพยากรและกำหนดว่าคนเราควรทำงานประเภทใดได้ด้วย เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของความมั่งคั่งที่ไม่ได้มาจากการลงแรงทำงาน และมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่รัฐประทานให้
ข้ออ้างของสตอสเซลที่ว่า “ต้องมีคนอื่นทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายให้กับ” ความสามารถของเราในการทำงานรับจ้าง (wage labor) ให้น้อยลง และหันไปใช้แรงงานในสิ่งที่มีความหมายในภาคส่วนที่ไม่เป็นทางการมากขึ้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ต้องเกิดผ่านการแลกเปลี่ยนด้วยเงินสด แต่ความจริงก็คือ การใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในระดับนั้นเป็นผลโดยจงใจของนโยบายรัฐในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ลองเปรียบเทียบสังคมดังกล่าวกับสังคมที่คนส่วนใหญ่เกิดในหน่วยขนาดใหญ่กว่านั้นที่รวมรายได้เข้ากองกลาง (income pooling) เช่น ครอบครัวขยาย โครงการบ้านร่วมอาศัย (cohousing) หรือหมู่บ้านขนาดเล็ก ซึ่งการบริโภคโดยมากมาจากการผลิตเพื่อใช้เองโดยตรงภายในโรงช่างหรือสวนของชุมชน ในอดีต ผู้คนส่วนใหญ่เคยเกิดและเติบโตในหน่วยสังคมลักษณะนี้ และสามารถดำรงชีวิตในระดับพื้นฐานได้จากการเป็นสมาชิกในหน่วยนั้นๆ แต่ทุน และรัฐทุนนิยม มองว่าวิถีชีวิตแบบนี้ไม่น่าพึงพอใจ เพราะความสามารถของชุมชนในการแบ่งปันรายได้ กระจายต้นทุน และกระจายความเสี่ยง ทำให้สมาชิกแต่ละคนไม่จำเป็นต้องพึ่งพางานรับจ้างมากนัก และนั่นหมายความว่า อำนาจต่อรองของแรงงานจะเพิ่มขึ้น รัฐสวัสดิการถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อทดแทนสถาบันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (organic institutions) ที่ถูกรัฐทุนนิยมทำลายลง
ทำนองเดียวกัน สตอสเซลเลี่ยงไม่พูดถึงคนที่ไม่ได้จ่ายค่าแรงให้กับงานใช้แรงงานในครัวเรือน เช่น การดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ นายจ้างในระบบทุนนิยมจำเป็นต้องพึ่งพาการผ่องถ่ายภาระต้นทุนของการผลิตและดูแลกำลังแรงงาน (reproduction costs of labor-power) ไปให้กับภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและภาคครัวเรือนมาโดยตลอด อิมมานูเอล วอลเลนสไตน์ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า รัฐทุนนิยมเดินอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการรักษาระบบครอบครัวเดี่ยวในฐานะพื้นที่ของการผลิตแรงงานรุ่นใหม่ กับการพยายามขัดขวางไม่ให้เกิดหน่วยของครอบครัวขยายหรือชุมชนหลายครัวเรือน ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้ปัจเจกแต่ละคนเป็นอิสระจากการการเป็นแรงงานรับจ้างมากเกินไป
ท่ามกลางข้อครหาจากสตอสเซล, โบห์ม และคนอื่นๆ ข้อเท็จจริงก็คือเราผลิตมากเกินไปและทำงานกันมากเกินไป ต่อให้รายได้พื้นฐานช่วยให้เราสามารถลดเวลาทำงานและเพิ่มกิจกรรมยามว่างได้มากขึ้น แต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อแรงงานของเราครึ่งหนึ่งถูกใช้ไปกับการผลิตของไร้ค่าที่ถูกออกแบบมาให้พังในที่สุด หากตัดการผลิตที่สูญเปล่าและงานไร้สาระ (bullshit jobs) พวกนี้ออกไป ชั่วโมงทำงานมาตรฐานที่จำเป็นต่อการผลิตระดับความเป็นอยู่ทางวัตถุในปัจจุบันของเรา จริงๆ แล้วควรจะเหลือแค่ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกัน ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของอภิมหาเศรษฐีมาจากค่าเช่าทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดจากการลงแรงทำงาน อันเป็นผลของการผูกขาดผลผลิตจากสติปัญญาร่วมของสังคม และก็สมควรแล้วที่นายจ้างจะหาคนทำงานไร้สาระพวกนี้ได้ยากขึ้นทุกวัน สตอสเซลต้องการให้คนผลิตของไร้ค่าพวกนี้ต่อไป หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้ที่เทียบไปกับการเป็นหนูปั่นจักร เพื่อให้เศรษฐกิจอันไร้ประสิทธิภาพเดินหน้าต่อ และปกป้องชนชั้นปรสิตที่ร่ำรวยด้วยการแสวงค่าเช่า
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how
The Center for a Stateless Society (www.c4ss.org) is a media center working to build awareness of the market anarchist alternative
Source: https://c4ss.org/content/60599
Anyone can join.
Anyone can contribute.
Anyone can become informed about their world.
"United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
Before It’s News® is a community of individuals who report on what’s going on around them, from all around the world. Anyone can join. Anyone can contribute. Anyone can become informed about their world. "United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
LION'S MANE PRODUCT
Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules
Mushrooms are having a moment. One fabulous fungus in particular, lion’s mane, may help improve memory, depression and anxiety symptoms. They are also an excellent source of nutrients that show promise as a therapy for dementia, and other neurodegenerative diseases. If you’re living with anxiety or depression, you may be curious about all the therapy options out there — including the natural ones.Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend has been formulated to utilize the potency of Lion’s mane but also include the benefits of four other Highly Beneficial Mushrooms. Synergistically, they work together to Build your health through improving cognitive function and immunity regardless of your age. Our Nootropic not only improves your Cognitive Function and Activates your Immune System, but it benefits growth of Essential Gut Flora, further enhancing your Vitality.
Our Formula includes: Lion’s Mane Mushrooms which Increase Brain Power through nerve growth, lessen anxiety, reduce depression, and improve concentration. Its an excellent adaptogen, promotes sleep and improves immunity. Shiitake Mushrooms which Fight cancer cells and infectious disease, boost the immune system, promotes brain function, and serves as a source of B vitamins. Maitake Mushrooms which regulate blood sugar levels of diabetics, reduce hypertension and boosts the immune system. Reishi Mushrooms which Fight inflammation, liver disease, fatigue, tumor growth and cancer. They Improve skin disorders and soothes digestive problems, stomach ulcers and leaky gut syndrome. Chaga Mushrooms which have anti-aging effects, boost immune function, improve stamina and athletic performance, even act as a natural aphrodisiac, fighting diabetes and improving liver function. Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules Today. Be 100% Satisfied or Receive a Full Money Back Guarantee. Order Yours Today by Following This Link.
