ปัญญาประดิษฐ์กับความจริงที่ยากจะยอมรับ
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ: AI and the Real Hard Pill to Swallow. 14 สิงหาคม 2024. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
ในบทความจากมูลนิธิเพื่อการศึกษาเศรษฐกิจ (“The Ego vs. the Machine” 24 กุมภาพันธ์) ดีแลน ออลแมน ผู้ประกาศตนว่าเป็น “ผู้มองโลกในแง่ดีด้านเทคโนโลยี” (techno-optimist) ปัดตกข้อถกเถียงล่าสุดเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็นเพียงเรื่องของอีโก้ที่ถูกทำร้าย “พวกเขารู้สึกในระดับสัญชาตญาณว่าหากเครื่องจักรสามารถทำสิ่งที่พวกเขาทำได้ แต่ดีกว่า เร็วกว่า และมีประสิทธิภาพกว่า แล้วพวกเขาจะยังมีคุณค่าอะไรอยู่”
แต่คนพวกนี้กลับขวางกั้นความก้าวหน้า ความก้าวหน้าซึ่งในวิสัยทัศน์ของออลแมนแล้วยิ่งใหญ่ราวกับการปลดปล่อยมนุษยชาติให้พ้นจากบาป
ทว่าความจริงที่ยากจะยอมรับก็คือ ความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเองของคุณไม่ควรจะเป็นอุปสรรคต่อกระแสแห่งนวัตกรรม… เมื่อคุณทำให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ต้องตกเป็นรองการคงไว้ซึ่งความสำคัญในตนเอง (self-importance) ของคุณ คุณกำลังมีส่วนร่วมในลัทธิหลงตนเองรวมหมู่ (collective narcissism) ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ต่อผู้ใดเลย
หลายคนประสบกับวิกฤตของการดำรงอยู่เมื่อตระหนักว่าระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจทำงานที่พวกเขาทำได้และอาจทำได้ดีกว่าด้วย แต่แทนที่จะปรับตัวและพัฒนาตัวเอง บางคนกลับเลือกจะคัดค้านความก้าวหน้า โดยใช้กลไกทางการเมืองหรือเสียงเรียกร้องทางสังคมเพื่อขัดขวางนวัตกรรม
เมื่อคุณตอบสนองอย่างตั้งรับต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ท้าทายชุดทักษะของคุณเอง คุณกำลังเอาความรู้สึกเห็นแก่ตัวแบบผิดๆ เป็นที่ตั้ง โดยยอมสละความก้าวหน้าของสังคมโดยรวม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นประโยชน์แก่คุณเองและทุกคน… หากคุณไม่สามารถชนะได้ในตลาด คุณก็ไม่ใช่เหยื่อ คุณสมควรที่จะแพ้
ให้ผมพูดตรงๆ เลยก็ได้ งานที่ปัญญาประดิษฐ์ที่ก้าวหน้าสามารถผลิตได้มักมีคุณภาพสูงกว่างานที่มนุษย์ทำ และสิ่งนี้จะยิ่งพัฒนาไปข้างหน้า มันจะเขียนหนังสือได้น่าเชื่อถือกว่า แต่งเพลงได้ซับซ้อนกว่า สร้างภาพและวิดีโอที่น่าสนใจกว่า และวิเคราะห์ข้อมูลได้มากกว่าที่มนุษย์คนเดียวจะทำได้ มันทำสิ่งเหล่านี้ได้เร็วกว่า แม่นยำกว่า และบ่อยครั้งก็สร้างสรรค์กว่าด้วย
สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์คุกคามไม่ใช่จุดมุ่งหมายหรือความสามารถในการสร้างสรรค์ แต่เป็นอีโก้ของเรามากกว่า และเมื่อมองในภาพรวมแล้ว นั่นเป็นราคาที่เล็กน้อยนักสำหรับโลกที่ได้รับการเติมเต็มด้วยผลงานสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพสูงกว่า มีนวัตกรรมมากกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าออลแมนใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง โลกซึ่งเส้นทางของการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้จริงแตกต่างอย่างมากจากโลกที่พวกเราที่เหลืออาศัยอยู่ การอ่านคำชื่นชมอย่างล้นเหลือของเขาต่อคำมั่นอันยิ่งใหญ่ของปัญญาประดิษฐ์ ชวนให้นึกถึงนิทานเรื่องเสื้อตัวใหม่ของพระราชา หรือถ้าใช้ภาพเปรียบยุคใหม่ของคอรีย์ ดอกโทโรว์ ก็น่าจะพูดได้ว่า ออลแมนเชื่อว่ากองมูลมหึมานั้นจะต้องมีม้าอยู่ข้างใต้เป็นแน่
ออลแมนละเลยประเด็นเชิงปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง เรื่องแรกคือผลกระทบจริงๆ ของเทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างเชิงสถาบันที่เทคโนโลยีนั้นถูกนำไปใช้
ที่สำคัญ มันขึ้นอยู่กับว่าผลประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีตกเป็นของใคร ภายใต้รูปแบบความเป็นเจ้าของที่ต่างกัน เทคโนโลยีใหม่อาจสร้างความอุดมสมบูรณ์ เช่น ลดเวลาทำงานโดยไม่ลดค่าจ้าง หรือทำให้ผู้บริโภคมีต้นทุนต่ำลง หรือไม่ก็ทำให้ผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นถูกปิดกั้นไว้ภายในกำแพงของบริษัทเพื่อใช้เป็นแหล่งสกัดค่าเช่าผ่านกลไกทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิในทรัพย์สินเทียมอื่นๆ
ปีเตอร์ ฟราส เปรียบเทียบสังคมคอมมิวนิสต์ยุคหลังความขาดแคลน (post-scarcity communism) ในภาพยนตร์สตาร์เทรค ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีเครื่องจำลองวัตถุและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ กับสังคมสมมติแบบ “แอนตี้–สตาร์เทรค” ซึ่งจะเกิดขึ้นหากสหพันธ์เลือกบังคับให้เกิดความขาดแคลนเทียม (artificial scarcity) เพื่อประโยชน์ของชนชั้นเสือนอนกิน (rentier class)
แอนตี้–สตาร์เทรค ยังคงใช้สมมติฐานด้านเทคโนโลยีแบบเดียวกัน เช่น มีเครื่องจำลองวัตถุ พลังงานฟรี และเป็นเศรษฐกิจยุคหลังความขาดแคลน แต่ปรับใส่ลงไปในโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมอีกแบบหนึ่งซึ่งตั้งคำถามว่า “เมื่อมีความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุซึ่งเป็นไปได้ด้วยเครื่องจำลองวัตถุแล้ว เราจะรักษาระบบที่ตั้งอยู่บนเงิน กำไร และอำนาจทางชนชั้นไว้อย่างไร”
เช่นเดียวกับทุนนิยมอุตสาหกรรม เศรษฐกิจแบบแอนตี้-สตาร์เทรคตั้งอยู่บนระบอบความสัมพันธ์ด้านกรรมสิทธิ์ที่รัฐบังคับใช้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ดี ประเภทของกรรมสิทธิ์ที่มีบทบาทสำคัญในแอนตี้–สตาร์เทรคนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินทางกายภาพ แต่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งถูกทำให้เป็นกฎหมายผ่านระบบสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์…
คุณสมบัติของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญานี่เองที่วางรากฐานทางเศรษฐกิจให้กับโลกแบบแอนตี้-สตาร์เทรค นั่นคือ ความสามารถในการสั่งผู้อื่นได้ว่าจะใช้สำเนาของแนวความคิดที่คุณเป็น “เจ้าของ” อย่างไรได้บ้าง เพื่อที่จะได้ใช้เครื่องจำลองวัตถุ คุณต้องซื้อเครื่องจากบริษัทที่ให้สิทธิ์คุณใช้งาน (คนอื่นไม่สามารถให้เครื่องจำลองวัตถุแก่คุณ หรือใช้เครื่องจำลองวัตถุสร้างอีกเครื่องหนึ่งให้คุณได้ เพราะจะเป็นการละเมิดสัญญาอนุญาต) ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่คุณสร้างสิ่งใดขึ้นด้วยเครื่องจำลองวัตถุ คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ในสิ่งนั้น เช่น ถ้ากัปตันฌอง-ลุก ปิคาร์ด แห่งแอนตี้–สตาร์เทร็ก ต้องการ “ชา เอิร์ลเกรย์ ร้อน” เขาก็ต้องจ่ายเงินให้แก่บริษัทที่ครอบครองลิขสิทธิ์แบบจำลองสำหรับสร้างชาร้อนเอิร์ลเกรย์ถ้วยนั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งานกำลังเดินตามรอยโมเดลแอนตี้-สตาร์เทรค ด้วยการปิดล้อมปัญญาประดิษฐ์ให้อยู่ภายในกำแพงของบริษัท และผนวกมันเข้ากับกระบวนการผลิตในลักษณะที่รับใช้ผลประโยชน์ตามลำดับชั้นการบริหารและผลประโยชน์ของเจ้าของกิจการที่ไม่ลงแรงทำงานเอง มากกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานหรือผู้บริโภค
และยังไม่ชัดเจนนักว่าการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งาน หรือการตัดสินใจอื่นๆ โดยฝ่ายบริหารของบริษัทต่างๆ จะเกิดขึ้นในลักษณะที่ก่อให้เกิดความก้าวหน้าจริงๆ อย่างไร
บางทีอาจเป็นไปได้ว่าผู้คนไม่ได้คัดค้านปัญญาประดิษฐ์เพราะพวกเขาเป็น “พวกไร้ฝีมือ” (third-raters) แบบตัวละครในนิยายของไอน์ แรนด์ แต่อาจคัดค้านเพราะปัญญาประดิษฐ์ทำงานได้แย่มากในทุกภารกิจที่พยายามจะแทนที่มนุษย์ แต่กลับถูกใช้งานโดยฝ่ายบริหารของบริษัทที่มีลักษณะต่อต้านสังคม (sociopathic corporate managers) ซึ่งมองว่าการทำให้ระบบเสื่อมคุณภาพลง (enshittification) เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้ เพื่อแลกกับการลดจำนวนพนักงานและเก็บเงินออมเข้ากระเป๋าของตน
เราเดินทางมาไกลจากจุดที่มาร์กซ์ว่าไว้ ว่าความสัมพันธ์ทางสังคมในกระบวนการผลิตได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาต่อไปของพลังการผลิต
แม้กระทั่งเมื่อ 60 ปีก่อน ก่อนที่ทุนนิยมอุตสาหกรรมจะถูกแทนที่ด้วยเศรษฐกิจแบบ FIRE (การเงิน ประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์) และการสกัดค่าเช่า โครงสร้างตลาดแบบกึ่งผูกขาดโดยกลุ่มผู้ผลิตไม่กี่ราย (oligopoly) ก็ทำให้บรรษัทอุตสาหกรรมสามารถลดสิ่งที่เรียกว่า “การทำลายเชิงสร้างสรรค์” (creative destruction) ให้เหลือน้อยที่สุด และจำกัดนวัตกรรมทางเทคนิคให้สอดคล้องกับความต้องการเชิงสถาบันของตน ดังที่พอล กู๊ดแมน อธิบายถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า “มีผู้ผลิตเพียงสามหรือสี่รายที่ควบคุมตลาดรถยนต์ แข่งขันกันด้วยราคาที่ตรึงไว้ และค่อยๆ ป้อนการปรับปรุงใหม่อย่างเชื่องช้า”
และเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านสู่ทุนนิยมการเงินและทุนนิยมเสือนอนกิน (rentier capitalism) ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา การจำกัดความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็ถูกแทนที่ด้วยการทำลายคุณหรือมูลค่ากันซึ่งๆ หน้า
หนึ่งในสัญญาณแรกๆ ว่าการทำให้ระบบเสื่อมคุณภาพลงจะกลายเป็นกระแสหลักในอนาคต คือการที่บรรษัทขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดนำระบบรับโทรศัพท์อัตโนมัติมาใช้ในทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้ประสบการณ์การติดต่อกับบริษัทเลวร้ายลงอย่างไม่อาจเทียบได้ ประเด็นโต้แย้งของกลุ่มอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวาเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตยด้วยเงินดอลลาร์” (dollar democracy) จึงเป็นเรื่องน่าขบขันในกรณีเช่นนี้ เพราะเวลาผู้เล่นรายใหญ่ทั้งหมดในอุตสาหกรรมเลือกใช้นโยบายที่ผู้บริโภคเกลียดชัง ผู้บริโภคไม่มีทางโหวตคัดค้านได้เลย
แนวโน้มหลักของทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 คือการที่บริษัทลงทุนหุ้นนอกตลาด (private equity) เข้าซื้อกิจการที่ผลิตสินค้าและบริการ แล้วทำการปลดหรือขายทรัพย์สิน (asset-stripping) ของกิจการเหล่านั้น และทำให้ศักยภาพการผลิตเสื่อมถอยลง บริษัทแล้วบริษัทเล่า เช่น Sears และ Toys R Us ต้องแบกรับหนี้สินจากการเข้าซื้อกิจการ ขณะที่สินทรัพย์ถูกขายเพื่อนำผลกำไรมอบให้แก่ผู้บริหารในรูปโบนัสและแก่ผู้ถือหุ้นในรูปผลตอบแทนระยะสั้น ก่อนจะทิ้งซากกิจการที่ว่างเปล่าไป บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เข้าซื้ออพาร์ตเมนต์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ละเลยการบำรุงรักษาพื้นฐาน และเรียกเก็บค่าเช่าในอัตราที่เอารัดเอาเปรียบผู้เช่า บริษัทลงทุนหุ้นนอกตลาดยังเข้าซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ แล้วปลดนักข่าวจำนวนมาก พร้อมทั้งเปลี่ยนเนื้อหาไปสู่แนวข่าวสารปนความบันเทิง (infotainment)
จนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างในตำราที่ถือเป็นแบบฉบับของการทำให้ระบบเสื่อมคุณภาพลงในโลกของข้อมูลดิจิทัล คือสิ่งที่เรียกว่า “การหันไปทำวิดีโอ” (pivot to video) ซึ่งในเวลานั้นถูกโฆษณาโดยผู้สนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในลักษณะเดียวกับที่ออลแมนกำลังทำกับปัญญาประดิษฐ์ในวันนี้
นับแต่นั้นมา โซเชียลมีเดียก็กลายเป็นสวนล้อมรั้วด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งทำให้การทำงานและประสบการณ์ของผู้ใช้ในแต่ละแพลตฟอร์มเสื่อมถอยลง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรีดเอามูลค่าออกมาเป็นกำไรระยะสั้น เราได้เห็นการเสื่อมสภาพของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Tumblr, Facebook และ Twitter เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแบบเรียลไทม์ และได้เห็นเครื่องมือที่เคยมีประโยชน์อย่างฟังก์ชันค้นหาใน Google และ Amazon กลายสภาพเป็นสิ่งไร้คุณภาพ
การหันไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน ซึ่งออลแมนทำหน้าที่เป็นผู้โฆษณาชวนเชื่ออย่างกระตือรือร้นโดยปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ มีแนวโน้มจะกลายเป็นการฉายภาพซ้ำของการหันไปทำวิดีโอในแบบที่ตลกร้าย แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตกว่ามาก สำหรับออลแมน เนื้อหาขยะที่สร้างโดยเครื่องจักรใน Sports Illustrated อาจ “น่าเชื่อถือกว่า” หรือ “มีคุณภาพสูงกว่า” เนื้อหาที่มนุษย์สร้างขึ้น และในสายตาของเขาแล้ว ภาพประหลาดๆ ที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมือมีแปดนิ้วหรือส่วนต่างๆ ของร่างกายซ้อนทับกันอย่างผิดรูป อาจมีคุณค่าเทียบเท่าภาพของเรมบรันต์ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่ามุมมองของเอมี แคสเตอร์ และเดวิด เจราร์ด น่าจะสะท้อนความเป็นจริงได้มากกว่า
เครื่องมือสร้างข้อความด้วยปัญญาประดิษฐ์ของ OpenAI เป็นแรงขับสำคัญที่ก่อให้เกิดกระแสโฆษณาและความตื่นเต้นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ แต่ในความเป็นจริง โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ส่วนใหญ่กลับถูกนำไปใช้เพื่อสร้างเนื้อหาเพื่อหลอกลวงคนกันเป็นหลัก
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างหน้าเว็บปลอมๆ ที่เต็มไปด้วยโฆษณา Google ถือว่าหน้าโฆษณาที่สร้างด้วย LLM เป็นสแปม แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหรือไม่เต็มใจในการตรวจจับและลงโทษ
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างหนังสือปลอมๆ ใน Amazon Kindle โดยส่วนใหญ่เป็นหนังสือ “ฟรี” ในบริการ Kindle Unlimited ที่ทำรายได้ผ่านการอ่านของสมาชิก (pageviews) แทนที่จะเป็นการซื้อโดยตรง
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างเว็บไซต์ข่าวปลอมๆ เพื่อเก็บรายได้จากโฆษณา
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างสายโทรศัพท์ปลอมๆ เพื่อหลอกลวงโดยอัตโนมัติ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เลียนเสียงของคน
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างรีวิวปลอมๆ ใน Amazon และทวีตปลอมๆ ใน Twitter
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างวิดีโอปลอมๆ ที่โฆษณามัลแวร์
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างเว็บไซต์ขายของปลอมๆ ใน Etsy
ปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้งานเพื่อสร้างเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ปลอมๆ จน Clarkesworld ต้องปิดรับต้นฉบับเพราะถูกถล่มด้วยเนื้อหาขยะไร้ประโยชน์ที่ถูกสร้างขึ้น หายนะจากหุ่นยนต์ที่เกิดขึ้นจริงต่อหน้าเรา
ผมขอยกแค่ประเด็นเดียวที่ออลแมนพูดถึงอย่างออกรส นั่นคือเรื่อง “คุณภาพของงานเขียนที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์”
…บางคนยังสังเกตด้วยว่า มีงานรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ซึ่งมีค่าตอบแทนน้อยกว่ามาก คือการแก้ไขงานเขียนคุณภาพต่ำของหุ่นยนต์…
โคเวิร์ตกล่าวว่าการทำให้ข้อความของปัญญาประดิษฐ์ฟังดูเป็นมนุษย์ (AI-humanising) มักใช้เวลามากกว่าการเขียนขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ค่าตอบแทนกลับต่ำกว่า…
“มันเป็นงานที่น่าเบื่อและแย่มาก แถมได้เงินไม่คุ้มค่าเหนื่อยด้วย” โคเวิร์ตบอก
แม้ออลแมนจะเขียนเชียร์ปัญญาประดิษฐ์อย่างหน้ามืดตามัว แต่ผมไม่คิดว่าปัญญาประดิษฐ์จะสามารถท้าทายฝีมือของเฮมิงเวย์ได้ในเร็ววัน
กระแสตื่นตูมเกี่ยวกับการเพิ่มผลิตภาพของคนทำงานก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน การสำรวจชุดหนึ่งพบว่าคนทำงานร้อยละ 77 ระบุว่า “เครื่องมือจากปัญญาประดิษฐ์ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาลดลง ซ้ำยังทำให้ภาระงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งด้าน”
เมื่อทุกคนกำลังกระโดดขึ้นรถไฟขบวนนี้จนถึงขนาดที่ LinkedIn เองยังมีตัวเลือกให้ “ลองเขียนด้วยปัญญาประดิษฐ์” ปัญญาประดิษฐ์จึงกลายเป็นเรื่องฮิตที่คนแห่แหนไปติดตามโดยไม่คิดให้รอบคอบ ไม่ต่างอะไรกับคริปโตเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ในปี 2017 คำที่เป็นกระแสร้อนแรงคือ “บล็อกเชน” (blockchain) เพราะราคาบิตคอยน์กำลังพุ่งสูง ธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาจำนวนมากถึงกับใส่คำว่า “บล็อกเชน” ลงในชื่อบริษัทหรือแถลงการณ์พันธกิจ ด้วยความหวังว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น Long Island Iced Tea เปลี่ยนชื่อเป็น Long Blockchain ก่อนที่ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 394 หุ้นของบริษัทไบโอเทคอย่าง Bioptix ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเปลี่ยนชื่อเป็น Riot Blockchain และหันไปทำเหมืองบิตคอยน์
ยกเว้นแค่บางคนอย่างพวกบิตคอยเนอร์ที่มีเครื่องหมายติ๊กถูกสีน้ำเงินใน Twitter และคอยพูดจาน่ารำคาญว่า “โว้ย เอ็งต้องมองภาพระยะยาวสิวะ!” ทุกคนต่างรู้ดีว่ากระแสนี้จบลงอย่างไร
การหันไปหาปัญญาประดิษฐ์มีแนวโน้มที่จะเป็นฟองสบู่ได้ไม่ต่างจากการหันไปทำวิดีโอและกระแสคริปโตเคอร์เรนซี แต่มีแนวโน้มว่าความเสียหายระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบไม่น้อยไปกว่าที่การหันไปทำวิดีโอเคยสร้างไว้กับวงการสื่อมวลชนออนไลน์
ฌอน ที. คอลลินส์ ให้ความเห็นไว้ใน Bluesky เกี่ยวกับเหตุวุ่นวายล่าสุดเมื่อแชตบอตของนครนิวยอร์กให้คำแนะนำแก่เจ้าของธุรกิจให้ทำผิดกฎหมาย เขาบอกว่า “ปัญญาประดิษฐ์ให้ความรู้สึกเหมือนภาวะคลั่งหมู่ (mania) แท้ๆ เป็นการหลุดออกจากความเป็นจริงแบบรวมหมู่แบบจริงๆ ของชนชั้นปกครอง พวกเขาอาจเทเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปกับความพยายามที่จะแทนที่งานและความรู้ทั้งหมดด้วยรูปเคารพทองสัมฤทธิ์ขององค์เทพดากอน (Dagon)”
ปัญหานี้ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกเพราะพวกหัวหน้าส่วนใหญ่นั้นโง่เง่าเป็นสากกะเบือ ปัญญาประดิษฐ์เป็นเพียงวัตถุแวววาวชิ้นล่าสุดที่ดึงดูดความสนใจพวกเขาไปได้ คอรีย์ ดอกโทโรว์ กล่าวไว้ว่า ที่หัวหน้าของคุณเป็น “เหยื่อโอชะของพวกนักขายปัญญาประดิษฐ์” ก็เพราะพวกเขาโลภมาก
พวกหัวหน้าก็เปรียบเสมือนมาร์กซิสต์ในโลกกลับตาลปัตร (Bizarro-world Marxists) เช่นเดียวกับมาร์กซิสต์ มุมมองต่อโลกของหัวหน้าของพวกคุณตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า เงินทุกดอลลาร์ที่คุณนำกลับบ้านในรูปค่าจ้าง คือเงินที่ไม่สามารถนำไปใช้เป็นโบนัสของผู้บริหาร การซื้อหุ้นคืน หรือเงินปันผลได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้เจ้านายของคุณกระเหี้ยนกระหือรืออย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ที่จะไล่คุณออกและแทนที่คุณด้วยซอฟต์แวร์ เพราะซอฟต์แวร์มีต้นทุนถูกกว่า และมันไม่เรียกร้องขอขึ้นค่าแรง
คนที่ควรถูกวิเคราะห์แรงจูงใจไม่ใช่คนที่วิจารณ์ปัญญาประดิษฐ์ แต่เป็นนักโฆษณาชวนเชื่อเพื่อปัญญาประดิษฐ์อย่างออลแมน ซึ่งอยากจะเชื่อจนสุดใจว่ามี “จอห์น กอลต์” [ตัวละครในนิยายของไอน์ แรนด์] ที่คอยขับเคลื่อนกลไกของโลกอยู่จริง ว่าบรรดาผู้คัดค้านทั้งหลายก็เป็นเพียงพวกคนธรรมดาๆ ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความอิจฉาริษยา จนทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นสายเทคโนโลยีหน้าใหม่ทุกครั้งไป
ความจริงที่ยากจะยอมรับอยู่ตรงนี้ต่างหาก ความจริงนั้นก็คือ ภายใต้ระบบทุนนิยมผูกขาด การทำให้สิ่งต่างๆ แย่ลงมักสร้างกำไรได้มากกว่าการทำให้มันดีขึ้น ถ้าผู้บริหารที่จบ MBA ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจ ฉลาดพอที่จะมองออกว่าทั้งสองอย่างต่างกันอย่างไรน่ะนะ
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how
The Center for a Stateless Society (www.c4ss.org) is a media center working to build awareness of the market anarchist alternative
Source: https://c4ss.org/content/60714
Anyone can join.
Anyone can contribute.
Anyone can become informed about their world.
"United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
Before It’s News® is a community of individuals who report on what’s going on around them, from all around the world. Anyone can join. Anyone can contribute. Anyone can become informed about their world. "United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
LION'S MANE PRODUCT
Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules
Mushrooms are having a moment. One fabulous fungus in particular, lion’s mane, may help improve memory, depression and anxiety symptoms. They are also an excellent source of nutrients that show promise as a therapy for dementia, and other neurodegenerative diseases. If you’re living with anxiety or depression, you may be curious about all the therapy options out there — including the natural ones.Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend has been formulated to utilize the potency of Lion’s mane but also include the benefits of four other Highly Beneficial Mushrooms. Synergistically, they work together to Build your health through improving cognitive function and immunity regardless of your age. Our Nootropic not only improves your Cognitive Function and Activates your Immune System, but it benefits growth of Essential Gut Flora, further enhancing your Vitality.
Our Formula includes: Lion’s Mane Mushrooms which Increase Brain Power through nerve growth, lessen anxiety, reduce depression, and improve concentration. Its an excellent adaptogen, promotes sleep and improves immunity. Shiitake Mushrooms which Fight cancer cells and infectious disease, boost the immune system, promotes brain function, and serves as a source of B vitamins. Maitake Mushrooms which regulate blood sugar levels of diabetics, reduce hypertension and boosts the immune system. Reishi Mushrooms which Fight inflammation, liver disease, fatigue, tumor growth and cancer. They Improve skin disorders and soothes digestive problems, stomach ulcers and leaky gut syndrome. Chaga Mushrooms which have anti-aging effects, boost immune function, improve stamina and athletic performance, even act as a natural aphrodisiac, fighting diabetes and improving liver function. Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules Today. Be 100% Satisfied or Receive a Full Money Back Guarantee. Order Yours Today by Following This Link.
